Last updated: 21 ก.ค. 2564 | 3531 จำนวนผู้เข้าชม |
พระอาจารย์สุรพจน์ สัทธาธิโก::
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ร่างกายเหมือนฟองน้ำที่เป็นแพ
สังเกตดูว่า ฟองน้ำเป็นอย่างไร?
มันก็แตกวุ้บๆ เราจะเห็นการแตกสลายของฟองน้ำที่เกิดขึ้น แล้วก็แตกอยู่ตลอดเวลา เกิดขึ้น แล้วก็แตกสลาย
ถ้าเราสังเกต เสียง มัน .. มันก็แตกดังวุ้บๆ ปุ้บๆ
เพราะฉะนั้น มันเป็นเสียงที่เราใส่ใจเข้าไป
นอกจากภาพที่เห็นแล้ว เรารับรู้ถึงเสียงของความรู้สึก ที่เกิดขึ้นของภาพที่เห็น
เราเห็นข้างน้อก .. แต่ถ้าเราน้อมถึงภายใน ภายในมีเซลล์ซึ่งทางการแพทย์บอกว่า เซลล์มันก็มีการเกิดขึ้นแล้วก็ตายไปอยู่ตลอด
ถ้าเรานิ่งเข้าไป เรามองไม่เห็นภาพ แต่เรารับรู้ถึงเสียงของความรู้สึก อาการของการเกิดขึ้นและแตกดับไป
ถ้าเราสังเกตอย่างต่อเนื่อง ขณะนึง ทุกๆวินาที เราสังเกตทุกวินาที เราก็จะสังเกตเห็นว่า
มีการเกิด-ดับ นี่เรียกว่า เรากำลังเห็นความจริงอยู่
ความจริงอะไร ?
ความจริงที่ว่า ร่างกายนี้ ภายนอกดูเหมือนจะเป็นรูปร่างที่ไม่ได้เสื่อมสลายอะไรไป แต่ภายในกำลังแตกทำลายไปอยู่ตลอดเวลา
เซลล์ทุกเซลล์ กำลังมีการสร้างขึ้นมาใหม่ และแตกดับไปอยู่ตลอดทุกเวลา ทุกขณะ นี่เรียกว่า เราเห็นตามความเป็นจริง
ดังนั้น การที่เราบอกว่า เราดูจิต เห็นการเกิด-ดับ เป็นภายในทุกขณะ ก็คือเราเห็นความไม่เที่ยงเกิดขึ้น และแตกดับไปของขันธ์ 5 อยู่ทุกขณะ เช่นเดียวกับการเห็นฟองน้ำ ที่พระพุทธเจ้าอุปมาไว้
ดังนั้น บางคนอาจจะรู้สึกวุ้บๆ มันเป็นเสียงของความรู้สึก ของการเกิดขึ้น และแตกสลายไป
เช่นเดียวกับที่เราเห็นฟองน้ำที่เกิดขึ้นและแตกดับไป
ขันธ์ 5 ก็ฉันนั้น เพราะเมื่อรูปดับ เวทนาก็ดับ
สัญญาก็ดับ วิญญาณก็ดับ
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ถ้าเรายึดถือเอา กายนี้เป็นตัวตน ยังมีทางเป็นไปได้ เพราะว่ากายนี้ตั้งอยู่นานหลายปี
คนทั้งหลายจึงอาจยึดถือกายนี้เป็นตัวตน แต่ธรรมชาติที่เรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป
ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
การที่เราคุมจิต รักษาใจ กำหนดรู้วิญญาณทั้ง 6 ในห้องแห่งใจนี้
ก็เพื่อมีปัญญาเห็นคามความเป็นจริง เห็นอย่างถูกต้องว่า
จิต มโน วิญญาณนั้น หาใช่ตัวตนที่ควรยึดถือเอาไว้ไม่
ดังนั้นการที่เราดูจิต เห็นธรรมชาติของจิต ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป
ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
ก็เพื่อให้มีปัญญาเห็นตามความเป็นจริงว่า
ไม่มีอะไรเป็นตัวเรา ไม่มีอะไรเป็นของเรา
หรือไม่มีอะไรเป็นตัวตนของเรา ที่ควรจะยึดถือไว้เลย
ในกายกับใจนี้ มีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นและแตกดับไปทุกขณะ
เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ เมื่อรู้อยู่อย่างนี้
ก็จะเบื่อหน่ายในสิ่งที่หลงผิดอยู่ว่า กายกับใจนี้เป็นตัวเรา เป็นของเรา
เมื่อมีปัญญาเห็นความจริง จึงไม่หลงติดอยู่ เมื่อเบื่อหน่าย จึงคลายความเพลิดเพลินยินดี
เมื่อปล่อยวางจึงไม่ยึดมั่น จิตจึงหลุดพ้นเป็นอิสระจากกายและใจนี้
นี่เป็นการดูที่จิตเลย เราดูที่นี่เลย แม้แต่จิต ที่ละเอียดที่สุดยังเกิดดับ.. แล้วกายที่มันหยาบอยู่แล้วล่ะ?
ดังนั้น การที่เรามาดูจิต เห็นการแตกทำลายไปทุกขณะ เห็นดวงหนึ่งเกิดขึ้นและดับไปทุกขณะจิต
เมื่อเราน้อมกระแสไปที่ร่างกาย เราจะรู้ถึงการเกิดขึ้นและเสื่อมไปของร่างกายได้เช่นเดียวกัน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
พอเราเรียนรู้เรื่องจิตได้เราก็เรียนรู้เรื่องกายได้ง่ายขึ้น
4 ก.พ. 2567
29 พ.ค. 2567
22 มี.ค. 2565
21 มี.ค. 2565