กระแสแห่งความรัก

Last updated: 21 ก.ค. 2564  |  7607 จำนวนผู้เข้าชม  | 

กระแสแห่งความรัก

:: หมอปูเป้ พญ.ทพญ.อัญชญา แย้มสุคนธ์

 

มีคนไข้คนหนึ่ง ตอนนั้นเขาเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย

คนไข้มะเร็งระยะสุดท้าย โดยปกติสำหรับการรักษาก็จะไม่ทำอะไรให้กับคนไข้รุนแรงมาก ก็รักษาตามอาการไป

ทีนี้คนไข้คนนี้เข้ามาที่โรงพยาบาลตอน 4 โมง

อาการของเขาคือ อาเจียนเป็นเลือดตั้งแต่อยู่ที่บ้าน  อยู่ในสภาวะช็อคมาตั้งแต่เช้า  อาการตอนนั้นเขาจำลูกจำภรรยาไม่ได้  คือดิ้นตลอด แล้วเหมือนกับว่า เคมีในร่างกายมันค่อนข้างจะเปลี่ยนแปลงเยอะ ทำให้เขาจำอะไรไม่ได้เลย  

 

..ระหว่างที่เขามาถึงโรงพยาบาล เขาก็ยังอาเจียนเป็นเลือดอยู่  ภรรยาพามาส่ง  ซึ่งตอนนั้น ทางทีมแพทย์เราก็ทำการตกลงกับญาติผู้ป่วยว่า  ในกรณีนี้ เราคงไม่ทำอะไรรุนแรงกับผู้ป่วย  คือจะให้มาปั๊ม เจาะคอ หรือว่าใส่สายอะไรที่มันระโยง ระยางนี่ คงจะทำให้เขาทรมานมากขึ้น ..ทางที่บ้านเขาก็รับได้อยู่แล้ว เพราะว่าจะมีการพูดคุยเป็นระยะๆ เราก็ต้องขออนุญาตมัดผู้ป่วยไว้กับเตียงเพื่อไม่ให้เขาดิ้น  ทีนี้ก็จะให้น้ำเกลือเต็มที่  ให้ยาเต็มที่  ภรรยาเขาก็รับได้  

 

แต่การที่ภรรยาเขารับได้นี่ .. ภรรยาเขานั่งร้องไห้ตั้งแต่ 4 โมงเย็น  ร้องตลอดเลย คือนั่งตาแดงอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย  จนประมาณตี 3 เป็นช่วงเวลาที่ต้องออกไปดูคนไข้อีกครั้งเพื่อให้เลือด พอตี 3 เราเป็นคนไปให้เลือด  ไปให้เลือดเสร็จ  ก็กำลังหันหลังกลับมา 

 

.. ภรรยา เขายังนั่งร้องไห้อยู่  ... ก็เลยเดินกลับมาถามเขาว่า  คุณกำลังเสียใจใช่มั้ย ที่คุณรู้สึกว่าสามีของคุณกำลังจะจากไป  กลัวสามีเสียชีวิตใช่มั้ย  เขาก็บอกว่า  “ใช่”  

 

หมอก็บอกว่า หมอก็กลัวเหมือนกันนะ เพราะว่าหมอก็ไม่รู้ว่าหมอจะตายเมื่อไหร่  เกิดวันนี้หมอขี้เกียจ.. เดินกลับไปนอนแล้วพรุ่งนี้ไม่ตื่นมาคุยกับคุณ  หมอก็คงเสียใจว่า  มีสิ่งดีๆที่อยากจะบอกคุณแล้วหมอไม่ได้บอก 

 

บางทีคนเราเหมือนเรื่องสิ่งดีๆ  บางทีอายไม่กล้าจะบอก  แต่ในขณะที่บางทีทำสิ่งอะไรที่แปลกประหลาด  เรากลับรู้สึกภูมิใจที่เราได้ทำ  เพราะฉะนั้น  จริงๆตัวเราปฏิบัติแล้วมันเหมือนเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า คือพระอาจารย์บอกนี่ไม่ใช่ว่าให้ทุกคนเชื่อ  ถามว่าวันนี้ พระอาจารย์บอกอย่างนี้  ถ้าคุณไม่เชื่อ  พระอาจารย์ท่านก็ไม่สามารถทำอะไรได้  แต่ถ้าคุณปฏิบัติ แล้วคุณเห็นเอง  รู้สึกเองว่ามันดี  แล้วคุณจะไม่ทำเหรอคะ?  ตัวเองรู้สึกแบบนั้น  ว่าเราปฏิบัติแล้วเรารู้สึกว่าดี  ก็เลยรู้สึกว่า ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ดี  เราก็น่าจะภูมิใจที่จะบอกคนอื่นได้  

 

หลวงพ่อก็จะยํ้าตลอดว่า  ต้องบอกคนไข้นะ..  บอกคน  บอกคน  เราก็รู้สึกว่า เราจะไปบอกได้อย่างไร  เราไม่ได้เป็นพระ  แล้วเราไปบอกคน แล้วเขาจะเชื่อเราเหรอ  แต่เราก็รู้สึกว่า  ในการที่บอกนี่  บอกให้เขาไปปฏิบัติ  แน่นอนว่า  เรามีความเมตตาที่จะไปบอกเขา  หวังดีกับเขา  เพราะฉะนั้น  อย่างน้อยเราก็ได้ส่งความหวังดีของเราไปแล้ว  เราก็รู้สึกสบายใจ  

 

วันนั้นตี 3 ก็เลยคุยกับเขาว่า  เดี๋ยวเรามาลองฝึกจิตกัน  คุณรู้มั้ยว่าคุณมานั่งร้องไห้อย่างนี้  สามีคุณนอนอยู่อย่างนี้  แล้วคุณมานั่งร้องไห้  เหมือนเมื่อกี้ .. กระแสที่เราส่งถึงกัน  ทุกคนบอกว่ารับรู้ได้  เขาถามว่า แล้วเอาไปทำอะไร 

บางคนก็สงสัยว่ากระแสนี้เอาไว้ทำอะไร  .. ตอนแรกก็สงสัยเหมือนกัน ..

ไม่สังเกตเหรอคะ มือเราไม่ได้อยู่ติดกัน  ทำไมถึงรู้สึกได้  มองก็ไม่เห็นว่ามันมีคลื่นอะไรลงมาหรือเปล่า  แต่ทำไมรู้สึกได้  จริงๆแล้ว  มันเป็นความรู้สึกข้างในต่างหาก  แต่ละคนรู้สึกแตกต่างกัน

เพราะฉะนั้น  จิตถึงเรามองไม่เห็น  แต่เป็นเพียงความรู้สึกเหมือนกัน   เพราะฉะนั้น  กระแสเมื่อส่งถึงกันได้แล้ว  เมื่อเรามีสิ่งดีๆอยู่กับตัว  เหมือนบางทีเราอยู่ใกล้ใคร  เรารู้สึกว่าอึดอัดจังเลย  ไม่อยากคุยด้วยแล้ว  แค่หน้าก็ไม่อยากจะมองแล้ว

แต่ในขณะที่อยู่ใกล้บางคน  รู้สึกสบาย  อยากอยู่ใกล้  อยากคุยด้วย  หรือบางทีทำไมเรานึกถึงใคร  เขารู้ได้ยังไง  เขาโทรมาหา  มหัศจรรย์จัง  ทำไมถึงรู้   ก็นี่ไงคะ  กระแสมันส่งถึงกันได้  เพราะฉะนั้น  เมื่อเราส่งกระแสได้แล้วนี่  ไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์อะไร 

ไม่ใช่ว่าเอาไปสอนคนไข้ว่า โอ้โห เดี๋ยวคุณจะฟื้นจากความตาย  ไม่ใช่..  อันนี้เป็นเหมือนกับผลพลอยได้ จากการที่เราเดินทางตรงไปถึงความสงบและความสุขที่เราจะได้รับในลำดับถัดๆไป  เพราะฉะนั้นกระแสเมื่อมันส่งถึงกันได้  เราก็ส่งกระแสดีๆไปให้คนรอบตัวของเรา  เรานึกถึงใครเราก็แผ่เมตตาให้เขา  ไม่ใช่อะไรเลยค่ะ  เอาไว้แผ่เมตตา  นึกถึงใครก็ส่งกระแสดีๆให้ทั่วกัน  

เพราะฉะนั้น หากทุกคนสามารถทำได้พร้อมกัน  แน่นอนว่า  ขนาดอยู่วันนี้  เราส่งกระแสพร้อมกัน  เรายังรู้สึกสบาย  รู้สึกอบอุ่น  คือ ถ้าเราสามารถเปลี่ยนแปลงให้คนทุกคนทำได้  แน่นอนว่าเราก็คิดว่าประเทศของเราก็จะมีความสุข  

 

ก็เลยบอกเขาว่า  คุณมานั่งร้องไห้ให้สามีอย่างนี้  คุณไม่คิดเหรอว่าเขาจะรู้สึกได้  คือสอนเขาดูจิต 

เขาก็บอกว่ารู้สึกได้ กลางหน้าอกเขารู้สึก 

เลยส่งกระแสให้เขา  พอส่งกระแสเสร็จ  เขาก็รู้สึกได้  เลยบอกเขาว่า คุณมานั่งร้องไห้ให้สามี โห..น่าสงสารจัง ก็เหมือนคนที่เวลาไปเยี่ยมคนไข้  เมื่อไหร่จะตาย  น่าสงสารเนอะ  คงจะทุกข์   ... เราส่งแต่ความทุกข์ไปให้เขา  คนไข้เขาก็รู้สึก

ก็เลยบอกเขาว่า  คุณเปลี่ยนใหม่นะ   ส่งความสุขไปให้สามี  เขาก็เลยลองทำเลย

 

คืนนั้นเขาก็เอามือแตะกลางหน้าอกสามี แล้วก็นั่งอยู่ข้างเตียง แล้วแผ่เมตตาไปให้ ส่งกระแสให้สามีเขา 

ทีนี้ลูกเขามาอีก 2 คน  เขาก็สอนเองเลย  ซึ่งเราก็ว่ามันน่าแปลกนะ  มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์   การปฏิบัติอย่างอื่น  บางคนบอกว่าไปหาพระสิ  เราสอนไม่ได้  แต่นี่คนไข้  ตัวเองไปพูดเอง  เขาสามารถถ่ายทอดให้ลูกเขาได้  เพราะว่าจิตดวงนี้  มันเหมือนอยู่ในทุกคน 

แล้วกระแสพวกนี้เหมือนที่พระอาจารย์บอก  มันเหมือนพ่วงให้กันได้  เหมือนรถเวลาสตารท์ไม่ติด  เราก็เอาสายไปพ่วง  กระแสนี้เมื่อมีแล้วในตัวเรา  เราก็สามารถพ่วงไปให้ผู้อื่นได้  เขาก็สอนลูกเขาอีก 2 คน  เขาก็เลยทำพร้อมกันทั้งครอบครัว 3 คน  ในขณะที่สามียังไม่รู้สึกตัวเลย   ลูกเขามาแต่เช้าก็ส่งกระแส  เดี๋ยวลงไปกินข้าว  ขึ้นมาก็ส่งกระแสสลับกัน 

 -----------------------------------------------------------------------------

เชื่อมั้ยคะผ่านไป 2 วัน  คนไข้คนนี้ลุกขึ้นมา นั่งกินข้าวได้เอง 

ตัวเราก็ไม่ได้รู้สึกมหัศจรรย์อะไร  เพราะเราก็รู้สึกว่าเป็นผลจากการรักษา

แน่นอน.. เราให้ยาให้อะไรเขาเต็มที่  แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกดีใจ  เพราะว่าคนไข้เขาบอกว่า 

“ คุณหมอครับ  ผมขอ บอกอะไรหน่อย คุณหมอรู้มั้ยวันที่ผมนอนอยู่  แล้วคุณหมอคงเห็นว่าผมไม่รู้สึกตัว   แต่คุณหมอรู้มั้ยว่า  ผมรู้สึกว่ามันมีกระแสอบอุ่นจากภรรยาจากลูกผม  ผมรู้สึกว่ามีกระแสดีๆส่งมาถึงผม  แล้วผมก็รู้เลยว่า  วันนี้ที่ผมลุกขึ้นมาได้ เพราะว่ามีกระแสแห่งความรักจากครอบครัวส่งมาถึงผม”  

เพราะฉะนั้นที่บอก  มันไม่ใช่ว่า โอ้โห...มหัศจรรย์  ฝึกแล้วเดี๋ยวใครใกล้ตายแล้วจะต้องฟื้นขึ้นมาเลย  คือมันคงไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ 

แต่จะบอกว่า  จิตเป็นเหมือนพาหนะที่ดี  ในการนำเราไปสู่ที่ๆดี  เพราะไม่ว่าตั้งแต่เราเกิดมา  จนถึงวันนี้ไม่ว่าเราจะจากโลกนี้ไป  จิตไปกับเราตลอด  ไม่ใช่ว่าเราเดินไปไหน  แล้วเราบอกว่า  เราต้องการการปฏิบัติ  เราขอเวลาปฏิบัติ  ไม่ใช่ .. 

การปฏิบัติเราต้องปฏิบัติได้ 24 ชั่วโมง  เพราะว่าเราไปไหน  เราพาจิตไปด้วย  เราไม่ได้ฝากไว้ที่ไหน  ไม่ใช่ว่าเราฝากจิตไว้ก่อนนะ เดี๋ยวเลิกงานเราค่อยมาเก็บจิตกลับบ้าน  มันก็คงไม่ใช่อย่างนั้น   เพราะฉะนั้น  เราปฏิบัติได้  เราก็สามารถส่งความสุข ส่งกระแสดีๆไปให้คนอื่นได้  เพราะฉะนั้น  เหมือนทุกคนมีสิ่งดีๆอยู่กับตัว  อยากจะให้ได้ต่อ  ได้สร้างบารมีต่อไป  คือได้บอกต่อผู้อื่นด้วยค่ะ 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้